Saturday, December 27, 2008

ปารย์ลืม!!!


ปารย์เอาอย่างดาราไทยยอดนิยม ยามอายุอย่างเข้าวัย 25 ปี มักกังวลเรื่องไม่ดีที่จะเกิดกับตัวเอง
พ่ออยากรู้จัง มันมีที่มายังไง ทำไมต้องเป็น 25 แล้ว 5 , 15 ,35 , 45 ได้ไหม๊ พ่อกังวลตั้งแต่ 25 ปี จนลืมไปแล้ว ว่าอายุเลยไปนานแล้ว

ปารย์ คงเจออาถรรพ์หมายเลข 5 เข้าไปแล้ว
วันที่แม่ไม่อยู่ ปารย์มักหาเรื่องให้พ่อกลุ้มได้เสมอ ปารย์กลับบ้านพร้อมแผลถลอกที่หน้า เรียกว่าถ้าเป็นรถยนต์ก็หายไปแถบหนึ่งเลย

สอบถามได้ความว่า ปารย์วิ่งแล้วสะดุดรองเท้าแตะ ล้มเอง พ่อถามว่าทำไม ปารย์ไม่เอามือค้ำ
ปารย์ตอบกลับมา ทำให้พ่องง!!
"ปารย์ลืม"

วันเกิดปารย์แล้ว!!


หลังจากพยามถามหาวันเกิด อยู่หลายสัปดาห์ ปารย์ก็ได้ฉลองวันเกิดซะที เย้!!!
ปีนี้ เราเลือกร้าน ไอติม เพราะหาเค้ก อร่อยๆ ไม่ทัน จริงๆ พ่ออยากกิน เค้ก ไอติม แต่ปารย์ไม่เห็นด้วย อยากได้ชุดวันเกิด เพราะจะได้เป่าเทียน

แถมมีภาพพร้อมกรอบรูปเก๋ไก๋ ให้เรามาดูเป็นที่ระลึกประจำปีด้วย 5 ขวบแล้วคราบๆๆๆ

Sunday, October 26, 2008

หาของขวัญวันเกิดให้พ่อกันเถอะ



พ่อบอกปารย์ว่า ใกล้จะถึงวันเกิดพ่อแล้วนะ ปารย์จะให้อะไร พ่อดีล่ะ ปารย์บอกกับพ่อว่า ปารย์จะซื้อนาฬิกาให้พ่อ พ่อถามปารย์ว่า ปารย์มีตังค์เหรอ ซื้อนาฬิกาให้พ่อนะ ปารย์บอกว่า เอองั๊นปารย์กับแม่ก็ได้ ซื้อนาฬิกาให้พ่อ

จนวันนี้ ปารย์บอกพ่อว่า ปารย์มีของขวัญวันเกิดให้พ่อแล้ว แต่ต้องถ่ายรูปก่อน จัดท่าเรียบร้อย อ๋อ ปารย์บอกว่าต้องเอาดอกไม้ ทานตะวันด้วย (พ่อบ่น มันเกี่ยวอะไรกับวันเกิดพ่อ ปารย์บอกว่ามันเป็นดอกไม้ของพ่อ ก็ปารย์ให้พ่อแล้วไง ที่พ่อรับปริญญานะ จำไม่ได้เหรอ)

ปารย์บอกพ่อว่าเปิดของขวัญซิ เปิดมาเป็นกระเป๋าสตางค์ แม่บอกว่า ปารย์เล่าให้ฟังว่า กระเป๋าสตางค์พ่อเก่ามากเลย เราซื้อกระเป๋าสตางค์ให้พ่อกันเถอะแม่ (พ่อนึกในใจ อ้าวแล้วนาฬิกาใหม่พ่อล่ะ)

สัปดาห์หนังสือ 2551



กิจกรรมประจำปี ของครอบครัวปารย์ อย่างหนึ่ง คือการจับจ่ายใช้สอยในงานสัปดาห์หนังสือ ปีนี้ก็เหมือนเดิม งานจัดที่ศูนย์ประชุมสิริกิตต์ แต่กว่าเราจะออกจากบ้านกัน ก็เกือบเที่ยงแล้ว เลยเดือดร้อนเรื่องที่จอดรถ แต่ปารย์ ก็สนุกกับรถสองแถวแดง ที่คอยบริการ ขนผู้เข้าร่วมงานหนังสือ อย่างไม่คิดค่าบริการ ต้องขอบคุณโรงงานยาสูบที่ให้บริการสถานที่จอดรถมา ณ ที่นี่ด้วยครับ ถึงแม้ว่า พ่อปารย์ จะไม่ใช่ลูกค้าของโรงงาน ก็คงไม่ว่ากัน

หนังสือที่ปารย์สนใจ ก็เป็นซีรี่ ไดโนเสาร์ เช่น บึ๊ก ขี้โมโห และ จี๊ดจ๊าดขี้อิจฉา ส่วนพ่อกับแม่ ก็หยิบๆ จับๆ มาเล่มสองเล่ม ปาเข้าไป สองพันกว่าเหมือนเดิม งานนี้ ปารย์ ได้แวะไป ห้องกิจกรรม โดยร่วมทำหนังสือทำมือ ด้วยอารมณ์ งุนงง นิดหน่อย เพราะพี่เลี้ยง เร่งให้ทำจังเลย ปารย์ก็แค่ สี่ขวบเองนะ ถึงแม้ว่าจะเข้มเหมือนเด็กโตก็ตาม แอะไม่เกี่ยวนิ ช่างเหอะ ปารย์ก็ทำเสร็จเหมือนกันล่ะนา

Wednesday, September 24, 2008

ยังไม่หมด...

ปารย์กินข้าวยากมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าไม่ตื้อก็ไม่กิน แม้ของชอบอย่างไข่เจียวก็ยังกินช้า ใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเสมอๆ เช้าวันไปโรงเรียนตามปรกติวันหนึ่ง แม่เดินถือข้าวในจานโดเรมอนมานั่งข้างๆ ปารย์
แม่ : ปารย์ กินข้าวครับ
ปารย์: ยังไม่ไหมด
แม่: มองหน้าพ่อ แล้วทำหน้างง ๆ
ปารย์ : ทำหน้าเขินๆ (คงนึกออกแล้วว่าพูดอะไรออกไป)
แม่ + พ่อ : หัวเราะลั่นบ้าน
ปารย์: ปารย์ไม่ได้เป็นตลกนะ
แม่: แต่มันตลกมากเลยลูก
พ่อ: ปารย์ยังไม่ได้กินอะไรเลย แล้วทำไมถึงบอกว่า ยังไม่ไม่หมดหละ
ปารย์: เขินอีกรอบ

เวลากินข้าว ปารย์พูดว่า" ยังไม่หมด " ซะเคยปาก พอแม่ชวนกินข้าวเลยพูดทันทีว่า(ในปาก)ยังไม่หมดทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มกินเลย โถ่ ! ลูกฉัน...

Saturday, September 06, 2008

ทายซิ...รูปอะไรเอ่ย

ช่วงนี้แม่มักต้องใช้เวลาวันเสาร์ในการสะสางงาน ปารย์เลยต้องไปใช้ชีวิตวันเสาร์อยู่ที่ทำงานแม่ เมื่อไม่มีเพื่อนเล่นด้วยปารย์เลยตั้งหน้าตั้งตาผลิตงานศิลปะออกมาเป็นปึกๆ แม่ scan ส่วนหนึ่งมาเก็บไว้ดูเล่น ส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าไดโนเสาร์ และฝูงสัตว์










Thursday, September 04, 2008

พระจันทร์อร่อยไหม๊


...ปารย์ตกลงใจเข้าร่วมการประกวดเล่านิทาน ตามคำอ้อนวอนของแม่และคุณครูพร โดยปารย์สมัครใจจะเล่าเรื่อง ไดโนเสาร์ เทอราโนดอน ที่ถนัด แต่แม่กล่อมปารย์ว่า น่าจะเล่าเรื่อง พระจันทร์อร่อยไหม๊ เพื่อนๆ ต้องชอบแน่ๆ เลย แม่โน้มน้าวใจปารย์โดยวิธี สร้างอุปกรณ์ประกอบนิทาน พระจันทร์อร่อยไหม๊ ให้ 1 ชุดใหญ่ ประกอบไปด้วย ฉากกลางคืน สารพัดสัตว์ และ พระจันทร์แปลงร่างได้ หรือแม้กระทั่ง ปารย์เสนอให้แม่เล่าก่อน ปารย์เป็นพิธีกร พ่อเป็นนักเรียน ประกอบการซ้อมใหญ่ แม่ก็ยินดี ทุ่มทุนสร้าง เพื่อ พระจันทร์อร่อยไหม๊...

...ข่าวความคืบหน้า จากแม่ ว่า ปารย์ผ่านภารกิจ เล่านิทาน พระจันทร์อร่อยไหม๊ อย่างราบรื่น จะสะดุด ก็อีตอนเล่านิทานเสร็จ เพื่อนๆ ที่รักยิ่งของปารย์ เช่น พี่กิจ ฟอยด์ จ้องจะแย่ง สารพัดสัตว์ ของปารย์ไปเล่น จนคุณครู แก้ปัญหา โดยบอกปารย์ว่า ให้เอาหนังสือมาเป็นอุปกรณ์ประกอบการเล่านิทานก็พอ เพราะจะทำให้ สถานการณ์ฉุกเฉิน จนถึงขั้นคุณครูต้องประกาศภาวะ ห้องผักกาดฉุกเฉิน เอ๊ะไม่เกี่ยวกับการเมือง ปารย์แจ้งว่า คุณครูให้เล่าอีก พ่อกับแม่ วิเคราะห์ว่า ปารย์น่าจะผ่านเข้ารอบต่อไป ยังไง แม่จะไปหารายละเอียดมารายงานให้ทราบกันต่อไป...

Saturday, August 23, 2008

Update กิจกรรม หน่อย

...นานแล้วที่ Blog ปารย์ ไม่ได้ขยับเท่าไร แต่ไม่ได้หมายความว่า ปารย์ ไม่มีกิจกรรมทำกันเลยนะ เพราะปารย์ชวนแม่ ชวนพ่อ ทำกิจกรรม กันแทบทุกเย็น กิจกรรม ทำเครื่องบิน กิจกรรม ทำ Popup (พ่อได้ยินว่าอย่างนั้น ฟังคำอธิบายแล้วยังไม่เข้าใจอยู่ดี)



กิจกรรม สอนวันหยุด !!!! พ่อนัดสอน พี่ๆ เค้าวันหยุด ปารย์ ก็เลยมีกิจกรรม ชายทะเล แบบนี้ไง




กิจกรรม ทำงานวันหยุด !!!! เมื่อแม่ต้องไปทำงานหยุด ปารย์ ก็เลยมีกิจกรรม ใต้โต๊ะ อย่างนี้ไง

Sunday, July 13, 2008

พ่อพะยูนตามหาหญ้าทะเล


...ปารย์ >>พ่อไม่รีบกลับ
...พ่อ >> พ่อไปทำงานครับ

...ปารย์ >> เหรอ...ปารย์กับแม่เล่น ตัวอักษร ตกหมดเลย พ่อช่วยปารย์เก็บหน่อยซิ

...เก็บกันสองคน

...ปารย์ >> พ่อไปไหน

...พ่อ >> หาหญ้าทะเล

...ปารย์ >> ????

...พ่อ >> พ่อไปลงเรือ มีนักดำน้ำ ด้วยนะ ปารย์ว่ายน้ำ ให้เก่งๆ เราไปดำน้ำกัน

...ปารย์ >> ปารย์ว่ายเก่งแล้ว ปารย์โตแล้ว พ่อยืนซิ เห็นไหม๊ ปารย์โตแค่นี้แล้ว

...พ่อ >> พ่อไปตั้ง 7 คนแนะ ดำน้ำ กัน 4 คน พ่อไม่มีถังดำน้ำ เลยไม่ได้ดำเล่นน้ำเลย.. พ่อไปที่เกาะศรีบอยา มา สวยนะ เค้าดำผุด ดำว่ายกัน ไปที่นั้นที ที่นี่ที เราเจอ บ้าง ไม่เจอมั๊ง สนุกดีนะ

...ปารย์ >> เหรอ...

...พ่อ >> พ่อดู เมฆ นะ เมฆมันเยอะมากเลย โชคดีฝนไม่ตก ไม่งั๊นเปียกแย่ คราวหน้า ปารย์ไปดูนะ

...ปารย์ >> ไป ปารย์ ไปด้วย

...พ่อ >> งั๊น เราไปว่ายน้ำกัน ก่อนนะ

...ปารย์ >> ไป เราไปว่ายน้ำกัน ปารย์ว่ายเก่งแล้ว แม่ เอาโฟมไปด้วย ...

Friday, July 04, 2008

แม่แก่ กับลูกขี้เล่น

พักนี้ แม่เหนื่อย รวมทั้งโกรธลูกบ่อยๆ ที่ไม่ทำอย่างที่แม่อยากให้ทำ ปารย์มักเลือกทำอะไรเฉพาะที่อยากจะทำเท่านั้น และทุกอย่างอยู่ในอาการเล่น เล่น และเล่น แม่คงแก่มากไปเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าทำไมปารย์ถึงเล่นตลอดเวลา เมื่อต้นอาทิตย์ได้เข้าไปอ่านบทความใน Web รักลูก อ่านแล้วใช่เลย แม่นี่เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เข้าใจเด็กซะเลย แม่เลยแอบสำเนาบทความมาโดยไม่ได้ขออนุญาตใคร เอาไว้อ่านเตือนตัวเองเวลาโกรธปารย์

เกาะติดภารกิจ 3 วันในค่ายเปลี่ยนพ่อแม่ โดย กองบรรณาธิการนิตยสารรักลูก

ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่กำลังมีทุกข์เพราะความรักลูก

คำถามคือ...คุณจะเลือกดับทุกข์ ด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนแปลงลูกหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม???

ตลอด 3 วันในค่ายครอบครัวแห่งสติ...อริยะสร้างได้ ณ เสถียรธรรมสถาน แม่ชีศันสนีย์ ธรรมสุต หรือคุณยายจ๋าของเด็กๆ ตั้งใจจะให้เด็กและผู้ใหญ่อยู่ในบ้านหลังนี้อยู่อย่างเป็นสุข ด้วยการเต็มใจทำให้ผู้อื่นโดยไม่ทวงบุญคุณ ไม่ตัดสินลูกด้วยมาตรฐานและความรักของผู้ใหญ่ แต่เพียงอย่างเดียว ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ต้องไปเกาะติดพร้อมกันค่ะ

Day 1 : จัดใจ – จัดบ้าน เปิดใจกว้างและวางอคติ

ยามสายของวันแรกในค่าย สมาชิกที่มีลูกตั้งแต่วัยไม่ครบขวบไปจนถึงวัยรุ่นต่างทะยอยกันมาลงทะเบียน ทั้งหมดจะมาเป็นสมาชิกของค่ายตลอดระยะเวลา 3 วันค่ะ

คอนเซ็ปต์ของค่ายในวันแรกคือ “บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์...สร้างอริยชน” ซึ่งพ่อแม่ต้องสังเกตลูก เพื่อเปิดใจกว้างและวางอคติผ่านกิจวัตรประจำวันและให้โอกาสเด็กๆ ได้ร่วมทำอย่างเป็นสุขและมีสติ ค่ะ
เปิดใจกว้าง และวางอคติ

เมื่อเป็นค่ายสังเกตเด็ก...ไม่ใช่ค่ายจัดการเด็ก คุณยายจ๋าจึงทำความเข้าใจกับสมาชิกค่ายนี้คืองานปรับทิฐิพ่อแม่ ต้องเฝ้าสังเกตลูกอย่างที่ลูกเป็นและถ้ายัดเยียดแล้วลูกก็ทุกข์ เราจะทุกข์ ไปด้วย อย่าทำให้ลูกเป็นของโหลที่ทำอะไรก็เหมือนกันไปหมด ให้ความรักมีความเข้าใจอยู่ด้วย

จากนั้นก็เริ่มให้พ่อแม่เปิดใจกว้างและวางอคติ ผ่านกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น
1. ลมหายใจแห่งสติคือศิลปะแห่งชีวิต “...ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ดั่งดอกไม้บาน ภูผาใหญ่กว้าง ดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น ดั่งนภาอากาศ อันบางเบา...” เสียงเพลงดั่งดอกไม้บานดังขึ้น พร้อมกับท่าทางพร้อมเพรียงซึ่งทุกคนจะรู้จักกันดี เป็นการฝึกดูสติตัวเองจากลมหายใจและการเคลื่อนไหวร่างกาย
2. แนะนำลูกในด้านที่ดีต่อหน้าผู้อื่น ระหว่างการทำความรู้จักของสมาชิก มีคุณแม่หลายคนเล่าถึงทุกข์ที่ลูกไม่เป็นอย่างที่อยากให้เป็น เช่น “....พอดีมีปัญหากับลูกสาว...” “...คุณหมอบอกว่าลูกเป็น....เลยพาเขามาใกล้ชิดธรรมะ” คุณยายจ๋าจึงแทรกคำแนะนำทันทีว่า
“กติกาของเราจะไม่พูดเรื่องเด็กไม่ดี อย่าแนะนำ บางเรื่องเรารู้ว่ามันมี แต่สิ่งที่มีไม่เป็นทุกข์ เราก็เป็นอริยะได้”
3. สังเกตและยอมรับอย่างที่ลูกเป็น คุณยายจ๋าถามว่าระหว่าง 45 นาทีที่แนะนำตัว มีพ่อแม่คนไหนนั่งอยู่แล้วไม่อึดอัดใจที่ลูกวิ่งเล่นไปมากลางวงบ้าง ว่าพ่อแม่เกือบทุกคนยอมรับว่าอึดอัดค่ะ
คุณๆ ลองหลับตานึกตามไปนะคะ ว่าระหว่างทำกิจกรรมนี้ ลูกเราส่งเสียงกรี๊ด วิ่งหรือนอนเล่นอยู่กลางวง ตะโกนเสียงดังใส่ไมค์ คุณอาจจะรู้สึกไม่ต่างจากพ่อแม่ในค่ายนี้ ที่ต่างพากันลุ้นตัวโก่งกับน้องมายด์ อายุ 2 ขวบ 11 เดือน ที่ถือไมค์อยู่นานกว่าจะหลุดชื่อและอายุออกมา น้องตี๋เล็กเดินวนอยู่รอบนอก ส่วนน้องเนสเล่ต์ก็เล่นในบ่อทรายมาหลายชั่วโมงโดยไม่ยอมลุกไปไหน

แต่ถ้าพ่อแม่ถอยห่างออกมาเพียง 1 ก้าว ก็จะรู้ว่านั่นคือธรรมชาติและความสุขของเด็ก และไม่จำเป็นต้องทุกข์เลย ถ้าเรารู้จักสังเกต เข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นค่ะ
4. ความสุขเล็กๆ ในใจฉัน กติกาของกิจกรรมนี้คือ ขอให้เรามีความสุขที่จะทำให้คนข้างหน้ามีความสุข เพื่อเรียนรู้ที่จะรู้จักความสุขเล็กๆ ในใจตัวเอง
โดยให้ทุกคนออกจากเบาะ (สื่อถึงการออกจากความคุ้นเคยของตัวเอง) ไปนั่งบนเสื่อแล้วเอามือไปแตะหัวไหล่คนข้างหน้าแล้วนวดไปพร้อมๆ กับเสียงเพลง
“ ฉันมีความสุขเล็กๆ อยู่ในใจ ในใจฉัน ในใจฉัน ฉันมีความสุขเล็กๆ ในใจฉัน...ฮื้ม ฮืม หื่ม ฮืม
I feel a little happiness of my heart.. of my heart, of my heart, I feel a little happiness of my heart…ฮื้ม ฮืม หื่ม ฮืม

จากนั้นก็หันหลังกลับมานวดคืนให้คนที่เคยนวดให้เรา เมื่อมีความสุขแล้วให้ขอบคุณทั้งคนที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังเรา การพนมมือขอบคุณไม่ใช่เรื่องเด็กและผู้ใหญ่ แต่เป็นการขอบคุณหัวใจทุกคนที่รู้ตื่นและเบิกบาน

คุณยายจ๋าเสริมว่า “เปลี่ยนจากการเอาบุญคุณกับเด็กๆ เป็นขอบคุณ บอกลูกว่าขอบคุณที่มีเขา เราจึงเห็นคุณค่าในตัวเองและมีความสุข ขอบคุณพ่อของลูกว่าเพราะมีพ่อ แม่และลูกจึงมีความสุข จงมีความสุขเมื่อทำให้ใครได้เป็นสุข”
5. สร้างวินัยในบ้านและแก้ปัญหาด้วยความสุข คุณยายจ๋าเอ่ยถามพ่อแม่ว่ามีใครรู้สึกรำคาญ 3 คนที่กำลังวิ่งเล่นวนข้างหน้านี้บ้าง คราวนี้ทุกคนส่ายหน้าว่าไม่รำคาญ คุณยายบอกต่ออีกว่า ถ้าไม่รำคาญก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่แก้ไข แต่ถ้ารำคาญ แปลว่าเราผิดวินัย เราจะไม่แก้ไขทุกเรื่องด้วยความรำคาญ เพราะไม่มีความรำคาญหรือความขุ่นมัวใดที่จะแก้ไขเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างอ่อนโยน

จากนั้นครูอุ้ย- อภิสิรี จรัลชวนะเพท ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลบ้านรัก อาสาสมัครของเสถียรธรรมสถาน ก็ชวนเด็กๆ ให้ตั้งมือเป็นหลังคาจั่วแล้วเปลี่ยนท่าทางไปพร้อมกลับบทกวี
เล็กๆ เล็กๆ ยังมีบ้านหลังเล็กๆ
บ้านหลังเล็กๆ เล็กๆ ยังมีเทวดาองค์เล็กๆ (เอานิ้วโป้งกระดิกเข้าหากัน)
เทวดาองค์เล็กๆ เล็กๆ ยังมีสวนเล็กๆ (แบมือ 2 ข้าง)
สวนเล็กๆ เล็กๆ ยังมีต้นไม้เล็กๆ
ต้นไม้เล็กๆ เล็กๆ ยังมีรังนกเล็กๆ
รังนกเล็กๆ เล็กๆ ยังมีนกตัวเล็กๆ (ท่านกบิน)
นกตัวเล็กๆ เล็กๆ ยังมีไข่เล็กๆ
และทั้งหมดนี้..... (วาดมือออกกว้างๆ)
ดูแลโดย....เทวดาองค์เล็กๆ

เมื่อจบบทกวีที่แสนจะน่ารักนี้ ครูอุ้ยก็บอกวินัยของบ้านให้กับเหล่าเทวดาตัวน้อย เพื่อที่จะช่วยกันดูแลบ้านค่ะ เช่น ต้องเดินบนพื้นไม้ให้เบาเหมือนแมวย่อง ดูแลเสื่อทำจากต้นกกไม่ให้มีรอยกระเดิด น้องตัวเล็กๆ จะได้ไม่หกล้ม

ถึงตรงนี้คุณยายจ๋าเสริมเรื่องของวินัยในบ้านว่า “ของบางอย่างไม่ได้เตรียมไว้ครบกับทุกคน เพราะความสุขไม่ใช่แปลว่าต้องแบ่งขนมเค้กให้ครบจำนวนชิ้นกับจำนวนคน อาหารอร่อยเพราะกินกันหลายคน เราใช้น้อยที่สุด เพื่อให้คนอื่นได้มากที่สุด"

งานบางชิ้นต้องใช้หลายคน งานบางชิ้นไม่ได้มีป้ายบอกว่าเป็นผลงานของเรา แต่ก็มีความสุขของเราอยู่ในนั้น พ่อแม่จะไม่สอนให้ลูกอวดว่าทำได้ แต่ควรให้เขามีความสุขที่ได้ทำ แล้วของที่ทำนั้นเป็นของคนอื่นได้ เด็กๆ จะมีวินัยที่จะทำเพื่อได้ให้เป็นที่รักโดยไม่ต้องเสแสร้ง อย่าถามลูกว่ากำลังทำอะไร แต่ให้ถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้ทำ
6. จัดบ้านเพื่อจัดใจ แม้จะผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อปล่อยวางอคติของพ่อแม่มาตั้งแต่เช้า แต่ไฮไลต์สำคัญคืองานต่างๆ ในบ้านที่เด็กๆ และพ่อแม่ต้องทำกันเอง เช่น ผ้ารองจาน ผ้าเช็ดปาก ผ้าปูโต๊ะ เทียน ส่วนเด็กโตขึ้นมาหน่อยจะได้รับมอบหมายให้รักษาความปลอดภัยชุมชน รวมทั้งให้บริการเด็กและผู้ใหญ่ในบ้าน

ซึ่งทั้งหมดนี้มีกติกาว่า พ่อแม่จะไม่เข้าไปจัดการลูก แต่จัดใจตัวเองและเดินให้ช้าลง 1 ก้าว สังเกตและมองลูกอย่างเข้าใจ เพื่อให้โอกาสเขาเรียนรู้การแก้ปัญหาเอง เช่น เด็กเงื้อมือแย่งของกัน ถ้าพ่อแม่ช้าลง 1 ก้าว เขาก็จะแก้ปัญหาเอง
บทเรียนพิสูจน์ใจ

เมื่อได้เปิดใจกว้าง วางอคติกันพอสมควรแล้ว บททดสอบใจก็มาเยือนพ่อแม่กันตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียวค่ะ


บ่อทรายแสนสุข

เมื่อมีเด็กในบ่อทรายเพิ่มจำนวนขึ้น การโต้เถียงของเด็กๆ ก็ตามมา จนคุณแม่ต้องรีบเข้าไปห้ามและแน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านรวมทั้งตัวดิฉันเองก็คงทำแบบนั้นเช่นกัน แต่คุณยายจ๋าเตือนสติถึงข้อตกลงที่บอกว่าให้พ่อแม่สังเกตลูกและช้าลง 1 ก้าว

สักครู่ คุณยายจ๋าจึงเอ่ยกับเด็กๆ ในบ่อทรายว่า “เรามีกองทราย เราไปเก็บใบไม้ ใครอยากได้ เราจะแบ่งให้ ใบไม้มีตั้งเยอะ ใครอยากช่วยยายทำตรงนี้บ้าง”

เนสเล่ต์หันมาสนใจด้วยอารมณ์ที่เย็นลง “หนูอยากให้ใบไม้ไม้มันอยู่บนภูเขา เด็ดบนต้นได้มั้ย”

คุณยายจ๋า : เด็กฉลาดจะรู้ว่าจะหาใบไม้จากไหน โดยไม่ต้องเด็ด เพราะถ้าเด็ดแล้วต้นไม้จะเจ็บ กติกาคือเอาใบไม้มาโดยไม่ให้มันเจ็บ

คราวนี้เนสต์เล่ต์ก็เดินออกนอกบ่อทราย โดยที่ไม่ต้องมีการบังคับใดๆ เลย
แล้วกลับมาบอกว่า “พอก่อนได้มั้ยครับ ใบไม้เยอะแล้ว”

Day 2 สร้างวินัย...ด้วยการให้ +ทำงานอย่างสุขใจ

เสียงระฆังแห่งสติปลุกคุณพ่อคุณแม่และเด็กๆ ตั้งแต่เช้าตรู่ อาจจะมีเด็กๆ ตื่นเช้าบ้าง สายบ้าง ค่ายนี้ก็ไม่ได้บังคับกันค่ะ เพราะยึดหลักใจเป็นสุขค่ะ อีกอย่างคือเด็กที่มาอยู่ในค่ายก็อายุไม่เท่ากัน จากครอบครัวที่ต่างกัน จึงใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ดิฉันสังเกตเห็นเด็กตัวเล็กๆ ตื่นเช้ามาพร้อมๆ กับพ่อแม่ค่ะ

หลังจากที่เมื่อวาน เราได้ปล่อยวางอคติกันแล้ว คอนเซ็ปต์ของค่ายวันที่ 2 คือแตกหน่อสติปัญญา พัฒนาใจตน หรือเป็นการสร้างวินัยในบ้านอย่างมีความสุขนั่นเองค่ะ

คุณยายจ๋าอธิบายให้ฟังว่า “วินัยแปลว่าความเคยชิน ถ้าเป็นกติกา มันเป็นความต้องการของคนใดคนหนึ่งแต่อาจจะไม่ได้เป็นความสมัครใจของคนอื่น วินัยในครอบครัวแห่งสตินี้จะเป็นความเคยชินที่เราจะทำงานทุกชนิดด้วยจิตที่รู้ตื่นและเบิกบาน เช่น นวดกันด้วยรู้ตื่นและเบิกบานที่จะไม่ทำให้คนข้างหน้าทุกข์เพราะเรา และเราจะไม่รั้งรอให้คนข้างหน้าเป็นสุข”

วันนี้ทุกคนในครอบครัวจึงได้เรียนรู้ถึงการสร้างวินัยให้ตัวเอง ทั้งจากการให้ และทำงานอย่างเป็นสุข ผ่านกิจกรรมต่างๆ มากมายคือ
1. วินัยจากการทำงานอย่างเป็นสุข ทั้งพ่อแม่และเด็กๆ ช่วยกันเก็บกวาดลานบ้าน บางคนตามคุณแม่ไปเก็บดอกไม้ไว้เพื่อประดับโต๊ะอาหาร คุณยายจ๋าสมมติให้เหล่านางฟ้าตัวน้อยประจำบ้านมีผ้ากายสิทธิ์พร้อมพร ที่จะออกไปทำให้บริเวณบ้านและโต๊ะอาหารสะอาดเอี่ยม
2. วินัยจากธรรมะในวิถีชีวิต หลังจากช่วยกันทำให้บ้านสะอาดแล้ว พ่อแม่ก็พาเด็กๆ มาเข้าแถวรอใส่บาตรคุณยายและแม่ชีท่านอื่นๆ

กิจกรรมนี้เป็นการเรียนรู้ที่จะเต็มใจให้และมีความสุขที่จะให้ คือเมื่อพ่อแม่ไม่ผลักดันลูก เขาก็ตัดสินใจว่าอยากจะให้ชิ้นไหนกับใคร ไม่ว่าจะใส่บาตรก่อนหรือหลังก็ใจเป็นสุขได้ คุณยายจ๋ายังแนะนำเด็กๆ ให้นึกถึงคนอื่นอีกว่า

“คุณยายรับบาตรเป็นคนแรก จะขอรับชิ้นที่เล็กที่สุด เพื่อให้มีเพียงพอถึงคนข้างหลัง"
3. วินัยจากการเป็นสุขที่ได้เป็นผู้ให้ แต่ละมื้ออาหาร เด็กๆ จะได้โจทย์ว่า “หนูทำอะไรให้กับใครบ้าง” ข้าวของที่ช่วยกันประดิษฐ์เมื่อวาน ได้กลายมาเป็นอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารในวันนี้ ทั้งผ้าปูโต๊ะ ผ้ารองจาน ผ้าเช็ดปาก เทียน

ยิ่งไปกว่านั้น เด็กๆ ยังได้ตักอาหาร เสิร์ฟน้ำ ล้างจาน พี่ๆ ได้ดูแลน้อง ดูแลพ่อแม่ แม้จะหกไปนิดเลอะไปหน่อย แต่หนูๆ เต็มใจและเบิกบานที่จะทำค่ะ ซึ่งเป็นการสร้างวินัยจากความสุขเล็กๆ ในใจที่ได้เป็นผู้สร้าง ผู้ให้ และผู้ใช้น้อย
4. วินัยเมื่อพ่อแม่ให้ได้มากกว่าที่เคย ตอนค่ำของกิจกรรมวันนี้เป็นการแสดงละครพุทธประวัติของเด็กๆ ค่ะ เป็นละครที่คุณยายจ๋าให้พ่อแม่ย้อนดูตัวเองด้วย คือไม่ดูละครด้วยอคติหรือคอยจับผิด แต่ให้ดูอย่างชื่นชมและให้กำลังใจ

พี่ๆ เด็กโตแบ่งเป็น 3 กลุ่มแล้วพาน้องๆ ไปซ้อมบท งานนี้พ่อแม่ได้แต่เฝ้ามองค่ะ เพราะหากเข้าไปจัดการให้ทุกอย่างเพราะอยากให้ออกมาดูเฉียบ เนี้ยบ นิ้ง ก็เท่ากับเราไม่ได้ให้โอกาสและความไว้ใจลูกที่จะสร้างวินัยและแก้ปัญหากันเอง ยกเว้นแต่เด็กๆ ได้ตัดสินใจว่าจะมาขอให้ช่วยค่ะ อย่างกลุ่มที่ 3 ได้ขอให้บรรดาคุณพ่อช่วยทำหน้ากากควายกับคันไถให้ รวมทั้งเป็นตัวประกอบบางฉากด้วย
บทเรียนพิสูจน์วินัย

ระหว่างที่ทุกคนทำงานอย่างสุขใจเพื่อสร้างวินัย ก็มีเรื่องท้าทายผู้ใหญ่มาเป็นระยะเลยล่ะค่ะ อย่างเช่น
เหตุเกิดที่บ่อทราย เช้านี้คุณยายจ๋ามีโจทย์ว่าให้มีเด็กทำงานอยู่ในบ่อทรายได้ 2 คน เพื่อจะได้ไม่เหงา ส่วนเด็กคนอื่นๆ ก็ทยอยกันไปทำกิจวัตรงานบ้านอย่างอื่น

แต่เนสเล่ต์ขอให้คุณยายจ๋าเข้ามาในบ่อทรายด้วย คุณยายจึงบอกว่าจะเข้าไปช่วยทำงานในบ่อทรายได้ก็ ต่อเมื่อทำงานข้างนอกเสร็จแล้ว จากนั้นน้องเนสเล่ต์ก็ออกมาช่วยงานต่างๆ ข้างนอกโดยไม่ลังเลเลยล่ะค่ะ โดยเก็บเรื่องบ่อทรายไว้เป็นความสุขเล็กๆ ในใจ และเขาจะกลับไปก็ต่อเมื่อทำงานบ้านเสร็จแล้ว ซึ่งเหมือนกับการสร้างวินัยให้ตัวเองโดยไม่ต้องรู้สึกว่าถูกบังคับจนไม่มีความสุข
เหตุเกิดที่ลานบ้าน ถ้าเด็กคนหนึ่งทำงานอย่างมีวินัยกับตัวเองแล้ว เราก็ควรจะให้เขาได้ใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาด้วย อย่างเหตุการณ์ในเช้าวันนี้ ที่คุณยายจ๋าเอามือชี้ไปที่ขี้นก เด็กคนหนึ่งตอบทันทีว่าไม่ได้ทำ คุณยายจึงเอ่ยว่า ไม่ได้ถามว่าใครทำ แต่เราจะทำอย่างไรที่จะอยู่กับมัน แล้วมันดีขึ้น เด็กน้อยจึงเอาไม้เขี่ยขี้นกไปทางอื่นทันที คุณยายจ๋าถามว่า แต่ถ้าเราเอาขี้ให้คนอื่นจะดีหรือ สุดท้ายเด็กจึงได้ไอเดียใหม่ว่าเอาขี้ไปทำปุ๋ยดีกว่า

สิ่งที่มองเห็นได้ง่ายๆ ในวันนี้คือ แม้จะอากาศร้อนมากแต่เด็กๆ ก็มีความสุขได้โดยไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่ว่าพ่ออแม่จะทำอะไร เขาจะตามไปอยู่ใกล้ๆ และช่วยหยิบจับ เด็กโตจะเลือกทำงานที่เหมาะสมกับแรงของตน ส่วนเด็กเล็กๆ นั้นจะทำงานโดยเลียนแบบจากผู้ใหญ่ เช่น พ่อกวาด ลูกเก็บ แต่ถ้าแม่นั่งลูกก็จะนั่งด้วย

ดังนั้นวินัยจึงไม่ใช่เรื่องต้องบังคับหรือฝืนทำ แต่มันคือสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติและเราก็ทำมันไปตามธรรมชาตินั้นค่ะ

Day 3 ถักทอสายใยเพื่อต่อยอดต้นกล้า

หลังจากที่เด็กๆ และพ่อแม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันจนสร้างวินัยในบ้านได้แล้ว เป้าหมายต่อไป คือการทำให้เรื่องดีๆ เหล่านี้คงอยู่และงอกงามต่อไป คอนเซ็ปต์ของค่ายวันสุดท้ายจึงเป็นเรื่องต่อยอดต้นกล้า...อาสารับใช้โลก ซึ่งต้องอาศัยความรักความผูกพันที่มีต่อกัน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นที่จะก้าวต่อไป

เช้านี้เด็กๆ ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอผู้ใหญ่จัดการให้ เหล่านางฟ้ากับผ้ากายสิทธิ์ยังคงใช้ผ้าในมือดูแลให้บ้านสะอาด เด็กหลายคนมาเข้าแถวรอใส่บาตรโดยไม่ต้องมีพ่อแม่มาคอยกำกับ รวมทั้งน้องเนสเล่ต์ที่ออกจะบ่อทรายโดยไม่รีรอ “หนูกลัวคุณยายจะไม่มีกิน ถ้าไม่มีใครมาทำบุญด้วย สงสารคุณยาย”

อย่างน้องมายด์เก็บเงินได้ 10 บาท ก็เอามาให้ผู้ใหญ่ถามหาเจ้าของ เมื่อบอกให้น้องมายด์เก็บไว้ใส่ออมสิน น้องมายด์ส่ายหน้าว่าไม่ใช่ของหนู เอาไปไม่ได้ค่ะ เด็กบางคนเรียงรองเท้าของสมาชิกในบ้านอย่างเป็นระบียบเหมือนที่เคยเห็นแม่ทำเมื่อวันก่อน

ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ได้ทำงานบ้านเพื่อใช้สื่อสารและยึดโยงสายสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ เช่น คุณพ่อตกแต่งฝ้าเพดานบ้านด้วยผ้า พ่อทำผ้าบังแดดเพื่อให้คนที่รักปลอดภัย
ขณะที่คุณแม่ทำตุ๊กตาไว้แขวนตรงจุดอันตรายต่างๆ เพื่อเป็นตัวแทนคำสอนของแม่ที่เคยบอกลูกว่าไม่ให้ปีนป่าย
บทเรียนสายใยครอบครัว

ช่วงบ่ายแก่ๆ คุณยายจ๋าให้พ่อแม่ใช้ด้ายผูกข้อมือพร้อมบอกขอโทษลูกในสิ่งที่พ่อแม่ทำให้ลูกเป็นทุกข์ หรือเรื่องที่อยากบอกแต่ไม่เคยบอกลูก เป็นการรับขวัญลูกกลับบ้าน แม้จะเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่ก็พร้อมจะเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่สื่อสารกับเขา

เมื่อต่างคนต่างลดกำแพงใจลง ความรักด้วยความคาดหวังจึงแปรเปลี่ยนเป็นรักด้วยความเข้าใจ ส่วนวิธีสานสัมพันธ์นั้นก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ของแต่ละครอบครัวแล้วล่ะค่ะ
อะไรคือหนทางสร้างเด็ก

ค่ายจบแล้ว แต่เด็กๆ ยังต้องเติบโตการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ให้เติบโตจึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่และเป็นที่เรื่องที่ต้องใช้เวลา ต้องทำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ คุณยายจ๋าได้ฝากถึงพ่อแม่ว่า

“เราต้องเข้าใจการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ไม่โยนลูกให้ระบบการศึกษา หรือเอาไปฝากผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

การทำค่ายครั้งนี้มาจากแนวคิดที่ว่า อริยะ แปลว่า ประเสริฐ อริยบุคคล แปลว่า ผู้ประเสริฐ ดังนั้น ค่ายครอบครัวแห่งสติ...อริยะสร้างได้ ก็คือกระบวนการเรียนรู้ของพ่อแม่ เพื่อสร้างครอบครัวอริยะเพราะพ่อแม่คือผู้สร้างลูกให้โลกและเป็นต้นแบบของลูก ในฐานะที่พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก และบ้านก็เป็นห้องเรียนแรกของลูก พ่อแม่จึงเป็นผู้ทำความสุขให้ลูกเห็น ด้วยการมีวิถีชีวิตที่สุขง่าย ทุกข์ยาก และมีความสุขเมื่อเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้เสพ

อริยชนคือกลุ่มที่ประเสริฐ ต้องเข้าใจเรื่องของหนทางที่เป็นหนทางสายเอกที่เรียกว่าอริยมรรค และคนที่จะรู้อริยมรรค ต้องรู้และเข้าใจเรื่องอริยสัจ 4 ด้วย คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั่นหมายถึง เด็กๆ ต้องเรียนรู้จักความทุกข์ ความอึดอัด ซึ่งความอึดอัดนั้นไม่ได้มีไว้ให้เขาวิพากษ์วิจารณ์หรือเพ่งโทษคนอื่น แต่มีไว้ให้หาทางแก้ ขณะเดียวกันความทุกข์ในใจของพ่อแม่ก็ทำให้เด็กเป็นทุกข์ไปด้วย

ครอบครัวแห่งสติจะต้องเข้าไปเรียนรู้อย่างที่มันเป็นอยู่ในขณะนั้น โดยไม่มองว่าลูกเป็นปัญหา แต่ต้องทำให้ความสนใจของลูก มีความสนใจของเราเข้าไปด้วยเพราะ ถ้าพ่อแม่เล่นได้มากกว่าที่เขาเล่น เขาจะติดต่อได้อีก

แล้วพ่อแม่ก็ต้องบอกรักลูกอย่างเป็นสุข เมื่อถึงวัยหนึ่งเด็กก็จะออกจากอกเรา จงใช้โอกาสนี้บอกรักเขา ให้เขารู้ว่าเราเป็นสุขที่ได้รักเรา อย่าบังคับ และใช้เหตุผลข้างๆ คูๆ เพื่อเอาชนะกันเลย ถ้าพ่อแม่เครียดความเครียดก็จะทำลายสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ลูกด้วยกันเอง

ข้อมูลจาก : นิตยสาร ฉบับที่ 306 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2551

ยาวนะ.....อ่านจบก็ลืมเรื่องโกรธปารย์พอดี กลับไปเล่นกันต่อได้แล้วลูก

Tuesday, June 17, 2008

ปารย์กับแสมบานครั้งที่ 8



จะว่าไปแล้ว ที่ผ่านมา กิจกรรมของปารย์ เยอะแยะ ไปหมด ไม่ว่าจะไปทัวร์ระยองกับแม่ หรือจะตะลอนลงใต้กับพ่อ แต่เพราะความที่ มีหลายสิ่งหลายอย่าง เข้ามาขวาง จนแม่กับพ่อ ไม่อาจปรับปรุง Blog ปารย์จนได้ จนพยายามกลับมาเก็บตก ในโอกาสต่อไป

วันนี้เอา เรื่องสดๆร้อนๆ กันก่อน เรื่องที่ว่า ปารย์ได้ร่วมเดินทางกับ ฉิ่งฉาบทัวร์ ลงใต้ ในงาน แสมบานคืนถิ่น ประมงติณฯ สัมพันธ์ ซึ่งถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 ปารย์ก็ขึ้นรถที่นัดหมายหน้า Big C พระรามสอง วันที่ 13 มิ.ย. 51 เจอพี่ออมสิน ก็ตีสนิท ขอร่วมก๊วนด้วยคนเลยทีเดียว เค้าร้องเพลง ปารย์ก็นั่งดูทาง หน้ารถ เค้าตบมือ ต้อนรับสมาชิก ปารย์ก็ต้อนรับด้วย ไปถึงดึกๆ ดื่นๆ ยังไง ปารย์ก็จะอยู่ร่วมสังฆกรรมกับเค้าด้วย ไม่ยอมหลับยอมนอน ตื่นเช้ามาก็ วิ่งเล่นได้ เหมือนปรกติ เช้ามาเจอเพื่อนตั๊ม ชวนกันไปร่วมกิจกรรมปล่อยกุ้ง ก็ตะลอนๆ เดินกันไป ไม่สนใจพ่อว่าอยู่ตรงไหน

กลางวันเพื่อนตั๊ม ชวนไปเล่นของเล่นที่บ้านต่อ แน๊ะ ยังไปกับเค้าอีก เอาเข้าไป หายกันไปค่อนวัน กลับมา งานสังสรรค์ กลางคืน เค้าเริ่มไปแล้ว แต่ปารย์ ถูกธรรมชาติทำร้าย เริ่มงอแง ง่วงนอน พ่อเลยต้องสละงานเลี้ยง ไปนอนกับปารย์ ตื่นช้ามา ยังถามหาเพื่อนตั๊มอีกดูซิ มันน่าไหม๊ ขอกลับ ปารย์สนิทกับทุกคนบนรถแล้ว แวะนั่งกลับออมสิน เดินตรวจตราทั่วรถ รับของแจกจากคนโน้นที คนนี้ที จนจำไม่ได้ว่า คนไหนเป็นคนให้ แต่ที่น่าตี ก็เห็นจะเป็น ปารย์ทำหน้าที่ลูกค้าที่ซื่อสัตย์ของ 7-11 นี่ซิ ต้องจ่ายตังค์ทุกปั๊มซินา

Monday, April 28, 2008

ฝากข่าว "พ่อ"



พ่อฝากแจ้งข่าว งานวันแสมบานครั้งที่ 8 สำหรับพี่ๆน้องๆ ที่มีโอกาสใช้ชีวิต บางส่วนใน วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ งานจัดวันที่ 14 มิถุนายน 2551 ที่ วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ สงขลา ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆครับ ยกเว้นโดนเรี่ยไร 555 รายละเอียดเพิ่มเติมที่ บอร์ดชมรมศิษย์เก่าประมงติณฯ ครับ

Friday, April 18, 2008

วิธีทำไข่ไดโนเสาร์ แบบปารย์

แม่ไม่รู้เหมือนกันนะว่าปารย์ไปได้ความคิดเรื่องไข่ไดโนเสาร์มาจากไหนกันแน่ เพราะปารย์ได้รับข้อมูลเรื่องไดโนเสาร์จากหลายแหล่งมาก ทั้งหนังสารคดี การ์ตูน หนังสือ ที่รู้แน่ๆก็คือปารย์บอกแม่ว่าจะเอาไข่ไดโนเสาร์แบบนี้นะ พร้อมเอามือประกบกันเป็นฝาประกบเหมือนหอยสองฝา เอ้า! เรามาลองทำกันลูก

ขึ้นที่หนึ่ง เป่าลูกโป่ง

ขั้นที่สอง แปะกระดาษลงบนลูกโป่ง ที่สำคัญชั้นแรก แปะกระดาษชุบน้ำโดยไม่ต้องใช้กาวเพื่อให้ดึงลูกโป่งออกง่ายๆ เมื่อกระดาษแข็ง


ขั้นที่สาม ตากไข่ไดโนเสาร์ให้แห้ง (กระดาษที่ใช้ถ้าเป็นกระดาษประเภทสมุดโทรศัพท์ กระดาษหนังสือพิมพ์จะทำได้้ง่าย)


ขั้นที่สี่ หลังจากไข่ไดโนเสาร์แห้ง ดึงลูกโป่งออก แล้วเก็บรายละเอียดของรูที่ดึงลูกโป่งออกไป จากนั้นผ่าไข่ไดโนเสาร์ให้เป็นรอยไข่แตก ติดบานพับโดยใช้ผ้า


ขั้นที่ห้า ทาสีตามชอบ


ขั้นที่หก หาไดโนเสาร์มาใส่ เท่านี้ปารย์ก็เล่นไปได้นาน


ก็ทำไข่ไดโนเสาร์นี่แหละเลยเป็นเหตุให้ปารย์ได้รับบทเรียนวิชาสังคมศึกษาในตอนที่ผ่านมาแล้ว ปารย์ต้องเรียนรู้นะว่าสิ่งที่เราสนใจอาจเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่สนใจ...

บ้านเราสวยขึ้นใช่ไหม??

ช่วงวันหยุดสงกรานต์ พ่อกับแม่ตกลงกันว่าเราจะซ่อมพื้นบ้านชั้นสองที่กระเบื้องปูพื้นมันอยู่กันอบอุ่นไปหน่อย จนดันกันปูดขึ้นมากว่ายี่สิบแผ่น ช่างซ่อมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พ่อ แม่ ลูก นี่แหละ

กว่าจะงัดกระเบื้องขึ้นมา กว่าจะสกัดปูนพ่อ แม่ ลูก เสียเหงื่อไปเยอะ แต่ในที่สุดเราก็เริ่มปูกระเบื้องได้ แถวแรกๆไม่เป็นไร การปูกระเบื้องก็ราบรื่นดี แต่พอถึงแถวสุดท้ายที่ต้องตัดกระเบื้องนี่สิ ่อุปกรณ์ของช่างสมัครเล่นอย่างเรามันไม่ค่อยอำนวยเท่าไร พ่อตัดไป กระเบื้องก็แตกไป ท่าทางไม่รุ่ง สุดท้ายเราเลยเปลี่ยนแผนเป็นปูกระเบื้องแบบโมเสสดีกว่า

ปารย์เห็นแม่เรียงกระเบื้องก็ออกความเห็นบ้างว่า แม่ทำเป็นรูปไดโนเสาร์สิ สุดท้ายพื้นบ้านเราเลยมีไดโนเสาร์คอยาวฝีมือร่างภาพโดยน้องปารย์เช่นนี้แล

Wednesday, April 09, 2008

ปารย์อยากได้...

ความอยากได้ใคร่มี นี่มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนจริงๆหรือนี่
ขนาดเด็ก 4 ขวบกว่าๆ อย่างปารย์ ยังอยากได้ของเล่นแบบไม่รู้จบจนแม่ชักเซ็ง ของเล่นที่มีอยู่ที่บ้านก็มากมายซะจนบ้านเราชักจะเล็กไปแล้ว ปารย์ยังจะขอของเล่นติดไม้ติดมือทุกครั้งที่เราไปซื้อของเข้าบ้านกัน พ่อเหลืออดตอนที่เราไปโลตัสเพื่อซื้อหมอกกันน็อคให้ปารย์ เพราะนอกจากหมวกกันน็อคแล้วปารย์ยังจะเอาโน่นเอานี่ แต่พ่อ กับแม่ไม่ยอมง่ายๆอยู่แล้ว สุดท้ายมาเจอดาบที่ทำจากโฟม ปารย์ท่าทางอยากได้มาก

พ่อ.."ปารย์จะเอาไปทำอะไร"
ปารย์.."จะเอาไปเล่น"

พ่อบอกว่าถ้าซื้อไปพ่อจะเอาไว้ตีปารย์ พ่อคงหวังว่าปารย์จะเปลี่ยนใจไม่เอาเพราะกลัวโดนตี แต่สถานการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น
ปารย์เปลี่ยนจากพูดว่า “ปารย์อยากซื้อดาบ” มาเป็น “ปารย์อยากซื้อไม้ตีปารย์” ไปตลอดทางจนพ่อหงุดหงิด และตกลงว่าเราจะเลิกพาปารย์ไปห้างสรรพสินค้า และคงต้องหาทางลดความรู้สึกอยากได้ใคร่มีของเล่นของปารย์ ก่อนที่เหล่าของเล่นจะยึดบ้านเรา

Friday, March 28, 2008

ปารย์โตแล้ว ???

ช่วงนี้ แม่กับพ่อ มักได้ยินปารย์พูดบ่อยๆว่า ปารย์โตแล้ว ปารย์อยู่ อ.2 แล้ว ปารย์อยู่ห้องผักกาด แม่เข้าใจว่าคุณครูคงจะพูดให้ฟังบ่อยๆ ปารย์เลยจำได้ แต่แม่ว่าปารย์ ไม่ in กับมันเท่าไรเลย

เมื่อเช้าปารย์ให้แม่เข้าไปส่งในโรงเรียน ที่เก้าอี้วางกระเป๋าเหมือนเดิม เหมือนเมื่อตอนอยู่ห้องแมลงปอ แม้ครูจะพยายามพูดว่าน้องปารย์โตแล้ว เดินเข้าไปในโรงเรียนเองได้แล้วครับ แต่ปารย์ยังคงเดินก้มหน้าไม่ยอมมองครู ลากแม่เข้าไปในโรงเรียนเหมือนเดิม

วันปรกติ ปารย์จะให้แม่รอจนกว่าปารย์จะวางกระเป๋า หันมาสวัสดี และบ๊ายๆแม่ แล้ววิ่งตรงไปที่สนามเด็กเล่น ดูน่าเอ็นดูเชียว

วันไม่ปรกติเช่นวันนี้ ปารย์ไม่ยอมวางกระเป๋า “ปารย์อยากไปทำงานกับแม่” ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แม่พยายามอธิบายว่าแม่ต้องทำงาน ปารย์ต้องเรียนหนังสือ และอีกมากมาย จนสุดท้ายแม่เดินออกจากโรงเรียน ปารย์ร้องไห้จ้า โดยมีครูดึงมือเอาไว้ที่หน้าโรงเรียน

เหมือนเมื่อตอนเตรียมอนุบาล เหมือนเมื่อตอนอนุบาล 1 อืม...น่าสงสารดีไหม ปารย์อาจใจเสียที่เห็นน้องเล็กๆที่คุณครูเดินจูงมือมารับปารย์ด้วยร้องไห้หาแม่ หรือไม่ก็เข้าข่ายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบน้องเล็กคนนั้น

อันที่จริงอาการร้องไห้ตามแม่ ก็มีมาเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่อยู่เตรียมอนุบาล แม่คิดว่าพอขึ้นอนุบาล 1 ก็จะหาย พออยู่อนุบาล 1 แม่ก็คิดว่า อยู่อนุบาล 2 ก็จะหาย แม่เห็นปารย์เล่าเรื่องที่โรงเรียนแล้วก็ดูปารย์จะมีความสุขดี แต่ตอนนี้ก็ อนุบาล 2 แล้วนะ ปารย์ยังมีการที่แม่ต้องคอยลุ้นว่าวันนี้จะเดินออกจากโรงเรียนเหมือนแม่ทั่วไป หรือว่าจะเป็นเหมือนแม่ใจร้ายทิ้งลูกไว้ที่โรงเรียน เอ้อ!!! ปารย์โตแล้ว...

Wednesday, March 19, 2008

วิชาสังคมศึกษา

เมื่อวานตอนเย็น ปารย์รีบกลับบ้านเพื่อจะเอาไข่ไดโนเสาร์ที่แม่ลูกช่วยกันทำในคืนก่อนหน้านั้นไปอวดเพื่อนๆในซอย ปารย์คงคิดในใจว่าเพื่อนๆ ต้องตื่นเต้นที่ได้เห็นไข่ไดโนเสาร์อย่างที่ตัวเองตื่นเต้น และจะต้องมามุงดูกันให้ปารย์ได้เป็นผู้จัดการการเข้าชมเหมือนกรณีที่ปารย์เอาของเล่นอื่นๆ ไปอวดเพื่อนๆ แม่คิดว่าปารย์คงจะรู้สึกถึงการมีอำนาจเหนือ เมื่อตัวเองมีของเล่นอยู่ในมือ จึงมักพยายามขนของเล่นในบ้านออกไปให้เพื่อนๆเล่น แล้วตัวเองเป็นผู้ควบคุมการเล่น ก็ทำไงได้ในเมื่อตัวเองเป็นเด็กเล็กที่สุดในกลุ่ม เด็กที่โตกว่าทั่วไปก็ไม่ค่อยอยากจะเล่นกับเด็กเล็กสักเท่าไร ก็ต้องอาศัยอุปกรณ์เสริมพลังกันหน่อย

แต่วันนี้ไม่เหมือนวันที่ผ่านมาเพราะวันนี้เพื่อนในซอยมีน้องแนนรวมอยู่ด้วย น้องแนนเป็นเด็กฉลาด อายุมากกว่าปารย์ไม่ถึงปีแต่มีพัฒนาการดีมาก และมีบุคลิกการเป็นผู้นำตามธรรมชาติอยู่ในตัว น้องแนนเองก็มีอุปกรณ์เสริมพลังเป็นของเล่นมากมายในบ้านเช่นกัน และดูเหมือนจะเหนือกว่าปารย์เพราะหลายชิ้นเป็นของเล่นราคาแพงซะด้วย

พอปารย์เดินถือไข่ไดโนเสาร์ที่ทำจากกระดาษหนังสือพิมพ์ เดินไปด้วยใบหน้าภาคภูมิใจสุดๆ ปากก็ร้องเรียกเพื่อนๆให้มาดูไข่ไดโนเสาร์กัน พอไปถึงลานรวมเด็กหน้าศาลในซอย น้องแนนพูดว่า “ไม่เห็นจะอยากดูเลย” เท่านั้นแหละความมีอำนวจเหนือของปารย์ก็ย้ายข้างไปอยู่ที่น้องแนนทันที แม่ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องแนนไม่อยากดูจริงๆหรือเปล่า และเด็กคนอื่นรู้สึกอย่างไร แต่ในเมื่อผู้นำตามธรรมชาติพูดอย่างนั้น ผู้ตาม ตามธรรมชาติ ก็ “ ไม่เห็นจะอยากดูเช่นกัน”

ปารย์ถึงกับผิดหวังทำหน้าเศร้า ทำหน้าโกรธ เรียกเพื่อนให้มาด "ูเร็วๆ เดี๋ยวปารย์จะเข้าบ้านแล้วนะ" "เดี๋ยวปารย์จะโกรธแล้วนะ" สารพัดจะพูด แต่เด็กคนอื่นก็ยัง “ไม่เห็นจะอยากดูเลย” เหมือนเดิม ปารย์ยังพยายามต่อไปด้วยการขอให้แม่ขนอุปกรณ์การทำไข่ไดโนเสาร์ไปนั่งทำหน้าศาล (แม่เองคงเป็นหนึ่งในอุปกรณ์เสริมพลังของปารย์เช่นกัน) แต่เพื่อนๆก็ยังไม่สนใจ สงสารก็สงสาร ขำก็ขำ

ฟ้าเริ่มมืดแม่ชวนปารย์กลับบ้าน ปารย์เดินไปบ่นไป ด้วยความผิดหวัง ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะนะลูกโดยเฉพาะ บทเรียนวิชาสังคมศึกษาที่ต้องเรียนรู้กันตลอดชีวิต

Tuesday, March 18, 2008

ผลการไปโรงเรียน....

หลังจากปิดเทอมมาระยะหนึ่ง ปารย์ก็หอบเอาผลงานของอนุบาลหนึ่งเทอมสองกลับบ้าน มีทั้งกล่องที่เคยเป็นกล่องรองเท้า และขวดเล็กๆ ที่เคยเป็นเพียงขวดแก้ว แต่ด้วยฝีมือปารย์ และแน่นอน + ความช่วยเหลือของคุณครูแอร์ และครูเจี๊ยบ กล่องรองเท้าก็กลายเป็นกล่องใส่อุลตร้าแมนแสนสวย (สำนวนเจ้าปารย์เขาเลยนะเนี่ย) ส่วนขวดแก้วก็กลายเป็นแจกันที่มีปารย์ตั้งชื่อให้ว่า ปีโด้




ส่วนที่เหลือก็เป็นผลงานกิจกรรมในห้องเรียนในทำนอง หัดเขียน หัดอ่าน สมุดการบ้าน สมุดสะสมงานที่เป็นตัวแทนผลงานของนักเรียนเพื่อการติดตามพัฒนาการ และ สมุดรายงานประจำตัวนักเรียน

ในสมุดรายงานประจำตัวนักเรียนนั้นมีใบแนบซึ่งเขียนว่าผลการประเมินพัฒนาการด้านสติปัญญา ซึ่งน่าจะเป็นผลการสอบปลายภาค 3 วันที่แม่ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะแม่ไม่รู้ว่าคุณครูวัดอย่างไร แต่ตัวเลขคะแนนก็ทำให้แม่ปลื้มใจที่ปารย์มีพัฒนาการดีกว่าเทอมแรกมาก อะนะมันเป็นสิ่งที่แม่ไม่ได้คาดหวังสำหรับระดับชั้นอนุบาล

ที่เป็น highlight อยู่ตรงความคิดเห็นของครูต่างหากซึ่งน่าจะเป็นการประมวลสะสมทั้งเทอม โดยเฉพาะในด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม ที่ครูเขียนว่า น้องมีจิตใจอ่อนโยน รู้จักการขอโทษ และการให้อภัย มีน้ำใจ ใส่ใจ กับคนรอบข้าง เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ปฎิบัติตามกฎกติกา ข้อตกลง รู้จักการรอคอย พูดจาไพเราะ รักที่จะสร้างงานศิลปะ นี่เป็นสิ่งที่แม่คาดหวังอย่างแรง คาดหวังว่าทั้งที่บ้าน และโรงเรียนจะหล่อหลอมให้ปารย์เป็นเด็กน่ารักแบบนั้นแหละ ใช่เลย อันนี้คุณแม่ปลื้ม มากค่ะ อ่านทีไรก็อยากหอมแก้มลูก ที่น่ารักถูกใจแม่ ทุกที

Tuesday, March 11, 2008

นานเกินไปแล้ว!!!


...นานเกินไปแล้ว ที่ Blog ปารย์ ไม่ขยับ ด้วยปารย์เองก็มีวีรกรรม ทุกวัน แต่พ่อกับแม่ ไม่ว่างพอที่จะนั่งพิมพ์เรื่องราวต่างๆ ของปารย์ ไ้ด้ซินา

...ปารย์ปิดเทอมแล้ว นั่นหมายความว่า เทอมหน้า ปารย์ก็ขึ้น อ.2 (อนุบาลสอง) หากใครถามว่าปารย์ อยู่ชั้นไหนแล้วครับ ปารย์ก็จะตอบอย่างไม่ลังเล ว่าอยู่ชั้นสอง (มาตั้งแต่ปีที่แล้ว) เพราะห้องอนุบาลหนึ่ง โรงเรียนปานตะวัน อยู่ชั้นสอง!!!

...กิจกรรมก่อนปิดเทอมใหญ่ ซึ่งเป็นธรรมเนียมของโรงเรียนอนุบาล ที่มีแค่ชั้นอนุบาลสาม ก็คือการอำลา พี่ อ.3 ซึ่งแต่ละห้องเรียนก็เตรียมการแสดง อย่างขมักเขม้น เพื่อให้ประทับใจรุ่นพี่ ที่กำลังจะโบยบินออกไปสู่ โลกใหม่ (ละครไหม๊) ห้องแมลงปอ ของปารย์ก็เช่นกัน พ่อกับแม่ มีหน้าที่ คอยดูปารย์ ซักซ้อม ในแต่ละวัน พ่อโหลดเพลงที่ปารย์ต้องใช้ สำหรับการแสดง มาเปิดเพื่อให้ปารย์ ได้บรรยายกาศ การซ้อมที่สนุกสนานขึ้น ถึงแม้ ครั้งแรกจะผิดเวอร์ชั่น อ้อ เพลงที่ห้องปารย์เลือกใช้ คือ สุขกันเถอะเรา ซึ่งวันแรกๆ ปารย์บอกว่า เป็นเพลงสุขกันทำไม??? (นั่นนะซิ)

...บทสรุป การแสดงที่พ่อกับแม่ ลงทุนเตรียมการยืมกล้องวิดีโอ พ่อหยุดงาน แม่ลาป่วย สุดท้ายปารย์บอกกับแม่ว่า ปารย์อยากดูเพื่อนๆ แสดง (อ้าว!!) ปารย์ยอมเสียสละ ไม่ขึ้นไปเต้นกับเพื่อนๆ แต่ยินดีที่จะเกาะอยู่ข้างเวที ให้กำลังใจ เืพื่อนๆ ทุกคนเลย การมองเพื่อนจากด้านล่างเวที ย่อมได้มุมมองผู้ชม มากกว่ายืนอยู่ข้างๆ เพื่อนบนเวทีเสมอ

...

Tuesday, February 12, 2008

ผจญภัยกันต่อ

เอาหละแดดร้อนแล้ว เข้าไปดูความอลังการข้างในพิพิธภัณฑ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ซากดึกดำบรรพ์ที่สมบูรณ์ที่สุด
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กันดีกว่า
เปิดประตูเข้าไป ไอเย็นช่ำจากเครื่องปรับอากาศเข้ามาปะทะทันที จากนั้นเราก็มาเจอด่านต้อนรับแขกด้วยเจ้าหน้าที่หน้าตายิ้มแย้ม พร้อมกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นที่อยู่ในมือ เล่นเอาพ่อกับแม่มองหน้ากันเพราะความอยากกาแฟพุ่งขึ้นมาทันที

เช้าๆอย่างนี้ กาแฟสักแก้วหละเยี่ยม แถวที่พักก็หาไม่ได้ซะด้วย หลังจากลงชื่อเยี่ยมชมเรียบร้อยแล้ว แม่ก็สอบถามเจ้าหน้าที่ว่ากาแฟนี้ท่านได้แต่ใดมา มีร้านขายที่นี่ไหม ได้ความว่าร้านเปิด 10:00 เออ!! รอไปก่อน

รู้จากเจ้าหน้าที่ว่าเดือนหน้าสมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จมาเปิดอย่างเป็นทางการ ช่วงนี้ก็เปิดบริการให้ประชาชนเข้าไปแสวงหาความรู้ได้ตามความพอใจ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย


นี่...อลังการไหม ต้อนรับลูกปารย์ด้วย สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส ที่ใครๆเข้ามาก็ต้องขอถ่ายรูปด้วย ดูชื่อก็บอกเลยนะว่าเป็นไดโนสายเลือดสยาม

นิทรรศการข้างในมีด้วยกันถึง 8 โซน ตั้งแต่จักรวาล และโลก ต่อมาก็สิ่งมีชีวิตแรกปรากฏ สิ่งมีชีวิตในยุคต่างๆ เรื่อยมาจนสุดท้ายคือเรื่องของมนุษย์ อันที่จริงแม่ถ่ายรูปไว้เยอะ แต่แสงข้างในไม่ค่อยเหมาะกับกล้องของเรา ภาพที่พอจะดูได้มันน้อยจัง


แฮ่ๆๆ ถ่ายรูปกับกระดูกไดโนเสาร์ที่ไม่รู้เกิดที่ไหน แต่ที่แน่ๆมาทิ้งกระดูกไว้ที่แผ่นดินอิสาน



ได้ความรู้จากแผ่นพับที่ได้รับแจก และแผ่นป้ายตามจุดต่างๆ ความว่ากระดูกเจ้ายักษ์ใหญ่เหล่านี้ล้วนเป็นแบบจำลองกระดูกไดโนเสาร์ที่พบซากในประเทศไทยทั้งสิ้น ซึ่งที่พบในปัจจุบันมี 16 สายพันธุ์ โดยมี 5 สายพันธุ์ที่ยังไม่พบอีกที่ใดในโลก



มุมนี้ มักมีอยู่ในกล้องของหลายๆคน



อีกหนึ่งมุมโปรดของปารย์ที่จำลองบรรยากาศโลกล้านปีในยุคต่างๆ พ่อกับแม่ต้องเดินวนเวียนอ่านให้ปารย์ฟังอยู่หลายรอบ

คืนแรกที่กาฬสินธุ์ ปารย์มีไข้ สงสัยจะตรากตรำไปหน่อย แม่กับพ่อเลยต้องผลัดกันตื่นมาเช็ดตัวให้ปารย์ หลังจากนอนหลับพักผ่อนเต็มที่ ปารย์ก็สร่างไข้และไปเที่ยวแดนไดโนกันต่อ

ก่อนหน้าที่จะมีการสร้างพิพิธภัณฑ์สิรินธรนี้ ทางวัดสักกะวันซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นแหล่งกระดูกไดโนเสาร์ก็ได้มีการสร้างพิพิธภัณท์ และปั้นหุ่นไดโนเสาร์ชนิดต่างๆ ไว้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชน เจ้าอาวาสของวัดนี้ให้ความสำคัญกับการศึกษาไดโนเสาร์มากทีเดียว และท่านก็เป็นคนแรกที่พบกระดูกไดโนเสาร์ในบริเวณนี้

หลังจากเยือนด้านในพิพิธภัณฑ์สิรินธรซะเป็นที่พอใจของปารย์แล้ว เราก็เข้าไปที่วัดซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันนั่นเอง

(ในที่สุดก็มีคนสังเกตุว่า ภาพที่แม่ใช้ปารย์ใส่ชุด 2 ชุดสลับกันไปมา แหะๆ ก็ภาพมาจาก 2 วันที่กาฬสินธุ์ หนะ แต่แม่ไม่อยากเขียนให้เป็นบันทึกประจำวัน เอาแค่สรุปๆนะ ภาพเลยไม่ต่อเนื่องเท่าไร)



ด้านหน้าบ่อกระดูกไดโนเสาร์ ในเขตของวัดสักกะวัน



ที่นั่งน่ารักนี้ ไม่ได้แต่ถูกใจปารย์เท่านั้น แต่ยังถูกใจแม่กับพ่อด้วย



ภาพนี้เป็นกระดูกจริงของไดโนเสาร์ในหลุมขุด (เอจะเห็นไหมเนี่ยมันมืดจัง) นักวิจัยสัณนิฐานว่าบริเวณนี้เป็นแม่น้ำ และเจ้าไดโนเสาร์เด็กตัวนี้อาจจะจมน้ำตายขณะพยายามข้ามแม่น้ำ ข้อมูลนี้ได้มาจากป้ายอธิบายต่างๆ และจากมัคคุเทศน์น้อย นักเรียนโรงเรียนสหัสขันธ์ที่พยายามอธิบายเรื่องราวต่างๆได้น่าประทับใจจริงๆ



เจ้าพาราซอโรโลฬัศตัวนี้อยู่ในบริเวณของวัด สีสันดูจะซีดสักหน่อยเพราะรับใช้ประชาชนมานาน

ก่อนกลับที่พักแวะไปที่สวนหย่อมเล็กข้างๆ ศูนย์โอทอปร้าง ในบริเวณนี้มีไดโนปั้นอยู่หลายตัวเหมือนกัน แต่ที่สะดุดตาหนะก็นี่ต่างหาก



นี่ไงโคมไฟไดโน เจ๋งจริงๆ แต่ที่น่าเสียดายคือมีหลายตัวที่แตกเสียหาย คล้ายโดนขว้างปา เศร้าจริงคนไทย

ความประทับใจอีกอย่างของการมากาฬสินธุ์ครั้งนี้คือน้ำใจค่ะ น้ำใจของเจ้าของริมทุ่งรีสอร์ทที่เราพักอยู่ แกใจดีราวกับเราเป็นญาติ เริ่มต้นจากให้เรายืมมอเตอร์ไซด์ไว้ใช้โดยไม่เก็บค่าเช่า ให้ลูกชายพาเราเที่ยวบริเวณรีสอร์ท และยังพาเราไปส่งที่ท่ารถทัวร์อีกต่างหาก

เสียดายที่ไม่ได้ขออนุญาติเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก แต่อย่างไรก็ตามเราสามคนก็จำน้ำใจงามของครับครัวพี่เขาได้เสมอ พ่อบอกว่าถ้าปีหน้าถ้าปารย์ยังสนใจไดโนเสาร์อยู่เราก็น่าจะไปเยือนสหัสขันธ์อีก

Tuesday, February 05, 2008

แล้วเราก็ได้ไป ... ผจญภัยในโลกไดโนเสาร์ ๆๆๆๆๆๆ

แม่เล็งมานาน พ่อปารย์ก็บอกว่าเราต้องไปที่นี่ซะก่อนที่ปารย์จะเปลี่ยนความสนใจไปเป็นเรืองอื่นตามวัยของเขา อันที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะปลุกปั้นให้ปารย์เป็นนักบรรพชีวินหรอกนะ แต่อยากปลูกฝังให้ปารย์รักการเรียนรู้ ไดโนเสาร์ จึงเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ ที่ปารย์สนใจ และแม่ก็อยากรู้

วันที่ 25 มกราคม เริ่มต้นกันที่สถานีขนส่งหมอชิตใหม่ ทั้งแม่และปารย์ต่างก็มาที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกัน เออ! แม่ไม่ได้ไปภาคอีสานมานานขนาดนั้นเชียวเหรอ

รออยู่ไม่นานพ่อก็ตามมาสมทบ รถ บขส. VIP 24 ที่นั่ง 2 ชั้น ที่นั่งกว้างจนเราสามคนสามารถนั่งด้วยกันได้บนเก้าอี้ 2 ตัว ประมาณ ตีห้า เราก็ถึงสถานีขนส่งกาฬสินธุ์ พ่อกับแม่อ่อนข้อมูลไปหน่อย ลงจากรถก็งงๆ คิดว่าจะมีรถประมาณรถบัส ไม่ปรับอากาศจากสถานีขนส่งกาฬสินธุ์ ไปจุดหมายของเราคือ อ.สหัสขันธ์ แฮะๆ คนขับรถสามล้อบอกว่าต้องไปขึ้นรถสองแถวที่ตลาด เราเลยนั่งรถมอเตอร์ไซด์สามล้อคนละ 30 บาท (ปารย์ยิ้มหน้าแป้นที่ได้นั่งสามล้อ) ไปกินโจ๊กที่ตลาดก่อนไปกันต่อ พ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดใจดีทุกคน พอรู้ว่าเราจะไปไหนก็แนะนำเส้นทางกันเต็มที่เรียกว่าไม่ต้องกลัวหลงกันเลยแหละ

สองแถวใหญ่ราคาคนละ 25 บาทพาเราจากตัวเมืองไป อ.สหัสขันธ์ ปารย์ก็สนุกสนานอีกนั่นแหละที่ได้นั่งสองแถว หันดูวัว ดูควาย ดูต้นไม้สารพัดชนิด ระหว่างทางโดนวัยรุ่น(ใหญ่) แซวนิดหน่อยว่านึกว่าปารย์เป็นผู้หญิง อะนะ ก็ขนตางอนซะขนาดนั้น

พอเข้าเขต อ.สหัสขันธ์ โฮะๆ ปารย์บอก “แม่มีไดโนเสาร์ด้วย” โอ้!! ไม่ได้มีตัวเดียว ระหว่างทางมีไดโนเสาร์ยืนอยู่เป็นระยะๆ ต้อนรับผู้มาเยือน ไม่ใช่เฉพาะปารย์หรอกนะที่ตื่นเต้น แม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ลงจากสองแถวเราก็นั่งมอเตอร์ไซด์ต่อเข้าไปที่พัก แฮะๆที่พักไกลจากถนนจัง แม่เลยลองถามเจ้าของรีสอร์ทว่าอยู่ที่นี่ออกไปข้างนอกยังไงค่ะ เจ้าของรีสอร์ทใจดีมากบอกว่าเอามอเตอร์ไซด์ผมไปใช้ละกัน ไม่ต้องเกรงใจ

ที่พักเป็น รีสอร์ทเล็กๆ อยู่ริมทุ่งได้ยินเสียงกระดิ่งผูกคอวัวกรุ๊งกริ่ง กรุ๊งกริ่ง ตลอด ด้านหน้าเป็นบ่อปลาชะโด เห็นลอยให้เห็นอยู่หลายตัว บรรยากาศดี เสียอย่างเดียวไม่มีหน้าต่างสักบาน พักผ่อนสักครู่เราก็พร้อมแล้วที่จะไปตะลุยโลกไดโนเสาร์กัน



เป้าหมายของเราคือ พิพิธภัณฑ์สิรินธร นั่นเอง







รอบๆ พิพิธภัณฑ์ มีไดโนเสาร์ใหญ่น้อยหลากชนิด อยู่ตามมุมต่างๆ ต้นไม้ที่ปลูกก็เหมือนจะถูกเลือกมาอย่างดีให้เข้ากับยุคสมัยของไดโนเสาร์ให้มากที่สุด ปารย์สนุกสนานกับการจัดท่าทางของตัวเอง และพ่อหรือแม่ถ่ายรูปคู่กับไดโนเสาร์


กับเจ้าโอวิแรปเตอร์

เจ้าแพคคีเซฟาโลซอรัสสองตัวนี่เอาหัวชนกันไม่ยอมเลิก ไม่เจ็บหัวกันบ้างหรือไงเนี่ย

ปารย์ พ่อ และ สยามโมไทรันนัส

นี่แหนน่ ปารย์ตัวโตขนาดทุบหัวไดโนเสาร์ได้เลยนะเนี่ย

Wednesday, January 16, 2008

วันเด็กของปารย์!!




...ปารย์มีกิจกรรมวันเด็ก ที่ไม่ค่อยเหมือนเด็กคนอื่นสักเท่าไร ในวัยสี่ขวบ ปารย์เป็นหนึ่งในทีม ร่วมจัดงานวันเด็ก "เดินตามรอยเท้าพ่อ" ให้กับพี่ๆ โรงเรียน ตชด คลองน้อย ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ดูเหมือนปารย์จะรู้ว่า หน้าที่หลัก คือเอาของขวัญไปแจก และทำไอศรีมให้พี่ๆ ที่นั้น แต่ปารย์ก็อดไม่ได้ที่จะร่วมสนุก กับพี่ๆ โดยการเล่นต่อสู้กัน มีลูกโป่งเป็นอาวุธ (ซะงั้น) พี่ๆ กว่าห้าสิบคนดูจะสนุกและอุดมไปด้วยของฝาก ของขวัญเด็ก แต่คงมีแค่วันเด็ก ที่พี่ๆ เค้าจะสนุกกันอย่างนี้ วันอื่นๆ ไม่รู้พี่ๆ เค้าเป็นยังไงกันบ้าง เอาไว้ปารย์จะไปเยี่ยมอีกนะ